ปุ่มบนรีโมทแอร์ น้อยคนจะรู้ วิธีให้แอร์เย็นประหยัดไฟได้อีกด้วย

ปุ่มบนรีโมทแอร์ น้อยคนจะรู้ วิธีให้แอร์เย็นประหยัดไฟได้อีกด้วย

เดี๋ยวนี้หลายคนประสบปัญหาบิลค่ าไ ฟที่พุ่งสูงขึ้นมาก ราะเดี๋ยวนี้อากาศร้อน หลายคนขี้ร้อน พัดลมอย่างเดียวเอาไม่อยู่ หลายๆคนก็เลยเปิดแอร์แทบทั้งวัน วันนี้เรามีวิธีดีๆมาแนะนำกัน เกี่ยวกับรีโมทแอร์ หากได้ล อ งสังเกตดีๆการตั้ง ค่ ารีโมทแอร์ ก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากรีโมทเป็นตัวควบคุมการทำงานให้แอร์สามารถทำความเย็นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ฉะนั้นเหตุที่ค่ า ไฟพุ่งสูงขึ้น นั้นอาจเกิดจาก เราตั้งค่าแอร์ไม่เหมาะกับสภาพอากาศภายในห้อง หรือไม่เหมาะกับขน า ดห้อง ทำให้ความเย็นทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และอาจทำให้แอร์ทำงานหนักขึ้น กินไฟขึ้นนั้นเอง ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกับปุ่มต่างๆบนรีโมทแอร์กันดีกว่า ว่าแต่ละปุ่มมีหน้าที่อะไรบ้ าง เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม

1 Auto Mode ( โหมดอัตโนมัติ )

เมื่อเรากดปุ่มโหมดนี้บนรีโมท แอร์จะปรับอุณหภูมิและความเร็วของพัดลมให้โดยอัตโนมัติ เวลาที่เราเปิดแอร์ใหม่ๆพัดลมจะหมุนแรง เพื่อให้ห้องเย็นเร็ว พอผ่านไปสักพักห้องเริ่มเย็นแล้ว ความแรงพัดลมจะค่อยๆลดลง และนอกจากนั้น โหมดอัตโนมัตินี้ จะสลับการทำงานเองด้วย โดยจะปรับไปใช้โหมดต่างๆอย่างเช่น Dry หรือ Cool ตามสภาพอากาศในห้อง

2 Cool Mode ( โหมดความเย็น )

ปรับความเย็นตามที่เราตั้งค่าไว้ ทั้งอุณหภูมิและความเร็วของพัดลม โดยเราสามารถกดปรับได้เองบนรีโมทว่า อยากได้อุณหภูมิเ ท่ าไ ห ร่ ความเร็วลมแ ร งแค่ไหน เราสามารถปรับได้ตามใจเลย แต่หากใครขี้เกียจมานั่งปรับเองบ่อยๆก็แนะนำให้ตั้งโหมดอัตโนมัติไว้

3 Dry Mode ( โหมดดูดความชื้น )

โหมดนี้จะทำงานคล้ายๆกับโหมด Cool แต่จะแตกต่างตรงที่ โหมดนี้จะช่วยลดความชื้นในอากาศ เหมาะสำหรับห้องที่ต้องการควบคุมความชื้น อย่างเช่นในห้องนั้นมีสิ่งของหรืออุปกรณ์ที่ไม่ถูกกับความชื้น ก็ให้เราตั้งค่าแอร์ไปที่โหมด Dry จะช่วยได้เยอะ และหากช่วงไหนฝนตก ห้องมีความชื้นสูง ก็สามารถใช้โหมดนี้ได้เหมือนกัน จะช่วยให้ห้องเย็นสบายแบบไม่มีความชื้นให้เหนอะหนะตัว แต่โดยปกติแล้วอากาศบ้านเราไม่ค่อยเหมาะจะใช้โหมดนี้ในการควบคุมอุณหภูมิ เพราะจะทำให้อุณหภูมิไม่คงที่ ฉะนั้นแนะนำให้เปิดใช้แค่ในช่วงที่ห้องมีความชื้นสูง

4 Fan Mode ( โหมดพัดลม )

ในส่วนของโหมดพัดลมนี้ แอร์จะทำงานแค่ในส่วนของพัดลม มีแค่ลมออกมา โดยลมที่ออกมาจะเป็นลมในอุณหภูมิห้อง เหมาะสำหรับในช่วงหน้าหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศา เพื่อให้อากาศในห้องหมุนเวียน ลดกลิ่นอับ ลดความชื้นในอากาศ โดยไม่ต้องทำความเย็น และโหมดนี้เราจะตั้งค่าได้แค่ความแรงลมเท่ า นั้น

แอร์รุ่นใหม่บางตัว เดี๋ยวนี้จะมีปุ่มควบคุมพิเศษมาให้เราตั้งค่าเพื่อใช้งานได้สะดวกขึ้น

ปุ่ม Sleep เพื่อตั้งค่าเวลาเปิด – ปิดแอร์

ปุ่ม Hi-Power เปิดใช้เมื่อต้องการให้อุณหภูมิในห้องลดลงอย่างรวดเร็ว

ปุ่ม I Feel รีโมทจะส่งสัญญาณไปที่ตัวเครื่องทุก 10 นาที เพื่อให้ตัวเครื่องทราบอุณหภูมิบริเวณรีโมท และปรับอุณหภูมิให้เป็นไปตามที่ตั้งค่าไว้

ปุ่ม ECO เป็นระบบประหยัดพลังงาน โดยในระบบทำความเย็น อุณหภูมิจะถูกปรับขึ้นอัตโนมัติ 1 องศา ทุกๆ 1-2 ชั่วโมง แต่จะถูกปรับองศาขึ้นไม่เกิน 2 องศา

เปิดแอร์ 26-27 องศา พร้อมพัดลม

การเปิดพัดลมช่วยไล่ความร้อนภายในห้องก่อนเปิดแอร์ โดยเพิ่มอุณหภูมิแอร์ไปที่ 26-27 องศาเซลเซียส จะช่วยลดอุณหภูมิลงได้ 2 องศา แต่ประหยัดไฟมากกว่าการเปิดแอร์ที่ 23-24 องศาเซลเซียส ช่วยประหยัดค่าไฟได้ถึง 10%

เลือกแอร์ให้เหมาะกับขนาดห้อง

โดยพิจารณา​จากค่า BTU/hr (British Thermal Unit per hour) ซึ่งเป็นหน่วยสากลที่ใช้วัดขนาดความเย็นของแอร์ และมีความสำคัญ​อย่างยิ่งต่อการประหยัดพลังงาน คนส่วนใหญ่มักเลือกซื้อแอร์ขนาดใหญ่เพื่อให้ห้องเย็นเร็วขึ้นซึ่งเป็นการตัดสินใจไม่ถูกต้อง เพราะการใช้แอร์ที่มี BTU สูงเกินความจำเป็นกับขนาดห้องจะทำให้คอมเพรสเซอร์ตัดบ่อย ประสิทธิภาพการทำงานของแอร์ลดน้อยลง และทำให้ภายในห้องมีความชื้นสูงส่งผลให้ผู้ใช้งานรู้สึกไม่สบายตัว รวมถึงมีราคาแพงเกินความจำเป็น​ แต่หาก​เลือก​แอร์ที่มี BTU ต่ำเกินไป การทำความเย็นจะช้า ไม่ได้ตามอุณหภูมิที่ตั้งไว้ รวมถึงคอมเพรสเซอร์ทำงานหนักจนเกินไป ทำให้แอร์เสียเร็ว สิ้นเปลืองพลังงาน และค่าไฟแพงขึ้น

แอร์สมัยนี้รีโมทแอร์มีปุ่มให้เราเลือกโหมด และตั้งค่าได้หลายอย่างเลยเพื่อความสะดวกต่อการใช้งานที่มากขึ้น ฉะนั้นเราควรศึกษาระบบการทำงานของแอร์ที่บ้านให้ดี เพื่อที่ใช้งานได้อย่างเหมาะสม ตรงความต้องการของเรา เหมาะกับสภาพอากาศในห้อง และยังช่วยให้ประห ยั ดค่ าไฟได้ด้วย